06/06/2024

เทียบชัด ๆ จอ OLED VS LED แตกต่างกันยังไง เลือกแบบไหนดี

oled-vs-led

หากคุณกำลังมองหาจอคอมพิวเตอร์มาใช้งานอยู่ คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลาย ๆ คนก็คือ จะเลือกจอ OLED หรือ LED มาใช้งานถึงจะเหมาะกว่ากัน? เนื่องจากเทคโนโลยีของ OLED และ LED นั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ในบทความนี้ ViewSonic จึงจะพาคุณมาทำความเข้าใจข้อแตกต่างของเทคโนโลยีทั้ง 2 แบบ ตั้งแต่การทำงาน ใครที่เหมาะกับการใช้งานจอแต่ละประเภท ไปจนถึงข้อดี-ข้อเสีย เพื่อให้คุณสามารถเลือกจอที่เหมาะกับการใช้งานของคุณได้

เทคโนโลยีจอ LED เทคโนโลยียอดนิยมและเชื่อถือได้

ในปัจจุบัน จอ LED ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และพิสูจน์ความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนาน ตามชื่อเรียก จอ LED จะใช้หลอดไฟ LED (Light-Emitting Diode - LED) ในการส่องสว่างด้านหลังจอ เพื่อให้แสงผ่านชั้นผลึกเหลว (Liquid Crystal Display - LED) และสร้างภาพบนหน้าจอ

โดยเทคโนโลยี LED จะมีข้อดีที่เหนือกว่า OLED คือ มีโอกาสเกิดปัญหาน้อยกว่า เช่น อาการหน้าจอลาย (screen burn) หรือภาพค้าง (image retention) ซึ่งเป็นอาการที่หน้าจอยังคงแสดงร่องรอยของภาพก่อนหน้า ด้วยระบบไฟแบ็คไลท์ นอกจากนี้ จอ LED จึงมีความสว่างมากกว่าจอ OLED อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าโดยทั่วไป และแม้ว่าคอนทราสต์ของภาพในจอ LED จะสู้จอ OLED ไม่ได้ แต่เทคโนโลยี mini-LED ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ก็ช่วยยกระดับคุณภาพของภาพให้ดีขึ้นได้ไม่แพ้กัน

OLED คืออะไร?

OLED ย่อมาจาก Organic Light-Emitting Diode ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่แตกต่างจากหน้าจอ LED/LCD แบบทั่วไป โดยที่จอ OLED จะไม่ได้มีการใช้แสงแบ็คไลท์เหมือนจอ LED เพราะแต่ละพิกเซลของ OLED สามารถปล่อยแสงออกมาเองได้โดยอิสระ เนื่องจากพิกเซลทั้งหมดมีการเชื่อมโยงกับชั้นอิเล็กโตรลูมิเนสเซนต์ ทำให้สามารถควบคุมการแสดงผลได้ละเอียดถึงระดับพิกเซล

จุดเด่นของเทคโนโลยี OLED

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักเทคโนโลยี OLED กันไปพอสมควรแล้ว ViewSonic จะพามาดูจุดเด่นของเทคโนโลยีนี้กัน พร้อมให้เหตุผลว่า ทำไมหน้าจอ OLED ถึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหน้าจอ LED/LCD

- ให้สีดำสนิท

หนึ่งในความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดระหว่างการใช้งานหน้าจอ OLED กับหน้าจอ LED คือ สีดำ เนื่องจากหน้าจอ OLED สามารถปิดพิกเซลแต่ละจุดได้เองแทนที่จะอาศัยไฟแบ็คไลท์ ทำให้แสดงสีดำได้ดำสนิท และมีคอนทราสต์ที่สูงกว่าสีขาว

- มุมมองที่กว้างขวาง

จอ LED บางรุ่น ผู้ใช้งานจะต้องนั่งตรงหน้าจอเป๊ะ ๆ ถึงจะเห็นภาพที่ชัดเจนและถูกต้อง แต่สำหรับจอ OLED ที่ไม่มีไฟแบ็คไลท์และตัวหน้าจอมีความบาง จะช่วยให้ภาพบนหน้าจอดูชัดเจนขึ้นแม้มองจากมุมที่ต่างกัน

- พกพาได้ง่าย

อีกหนึ่งข้อดีที่สำคัญของจอ OLED ที่มักจะถูกมองข้ามไปก็คือ ความบางและเบาของจอ OLED ซึ่งมักจะผลิตจากพลาสติกที่มีความบาง และน้ำหนักเบา ทำให้สามารถเคลื่อนย้าย พกพา และติดตั้งได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ภายในจอ OLED ยังมีความยืดหยุ่นมากกว่า ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายขณะเคลื่อนย้ายได้

และจากคุณสมบัติเหล่านี้จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม OLED ถึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย

- ปล่อยแสงสีฟ้า (Blue Light) น้อยกว่า

เทคโนโลยี OLED มีความสามารถในการหรี่แสงแต่ละพิกเซลได้อย่างอิสระ ส่งผลให้ปริมาณแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากจอเหล่านี้น้อยกว่า ซึ่งจอ OLED บางรุ่นสามารถลดแสงสีฟ้าได้มากถึง 50% เมื่อเทียบกับจอแบบ LED/LCD ซึ่งหมายความว่า จอ OLED ช่วยถนอมสายตาของคุณได้มากกว่า

การลดแสงสีฟ้ามีความสำคัญ เพราะแสงสีฟ้าน้ำเงินเป็นแสงพลังงานสูง อาจส่งผลเสียต่อสายตา แสงสีฟ้าน้ำเงินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าสายตา เมื่อใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นอกจากนี้ ในระยะยาว อาจทำให้ปวดหัว ตาอ่อนล้า และส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ

- ประหยัดพลังงาน

ด้วยความสามารถในการควบคุมพิกเซลแต่ละจุด ทำให้จอ OLED สามารถปิดพิกเซลนั้น ๆ ได้ ส่งผลให้ใช้พลังงานน้อยกว่าจอ LED โดยเฉพาะเมื่อตั้งค่าความสว่างหน้าจอไว้สูง ซึ่งเหมาะสำหรับใช้งานในสำนักงานหรือโรงเรียนที่ต้องการใช้จอจำนวนมาก นอกจากนี้ การผลิตจอ OLED ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า เนื่องจากกระบวนการผลิตไม่ใช้ก๊าซเรือนกระจก ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (Nitrogen trifluoride)

- เวลาตอบสนองเร็วกว่า

อีกหนึ่งข้อดีของเทคโนโลยี OLED คือ เวลาตอบสนองที่เร็วกว่า เนื่องจากมีค่าความหน่วง (Input Lag) ต่ำ ซึ่งเวลาตอบสนองที่รวดเร็วมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดค่าความหน่วง และลดอาการภาพเบลอ (Motion Blur)

เปรียบเทียบประเภทของหน้าจอคอมพิวเตอร์

การเปรียบเทียบหน้าจอแบบ OLED กับ LED จะไม่สมบูรณ์ ถ้าหากไม่เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของหน้าจอชนิดอื่นๆ ต่อไปนี้คือประเภทของหน้าจอ หลักการทำงาน และข้อดี-ข้อเสียของหน้าจอแต่ละประเภท

1. หน้าจอแบบ In-Plane Switching (IPS)

หน้าจอ IPS เป็นประเภทของหน้าจอ LED ที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงสีสันที่ยอดเยี่ยม การจัดเรียงโมเลกุลแบบพิเศษในจอ LCD ช่วยให้ภาพมีความคมชัด นอกจากนี้หน้าจอ IPS ยังมีมุมมองที่กว้าง สามารถมองจากด้านข้างได้โดยภาพไม่ผิดเพี้ยน

  • ข้อเสีย เมื่อเทียบกับหน้าจอแบบ OLED และ Twisted Nematic (TN) หน้าจอ IPS อาจมีอัตราการตอบสนองที่ช้ากว่า ซึ่งโดยปกติไม่ใช่ปัญหาสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าหากต้องการหน้าจอที่มีอัตราการตอบสนองเร็วมาก หน้าจอแบบ OLED และ TN อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

2. หน้าจอแบบ Twisted Nematic (TN)

จอแบบ Twisted Nematic (TN) เป็นเทคโนโลยี LED/LCD ที่เก่าแก่ที่สุด มีความเร็วในการตอบสนองสูง (fast response times): เหมาะสำหรับการเล่นเกมแข่งขัน เนื่องจากภาพบนหน้าจอแสดงผลได้รวดเร็ว ลดอาการภาพฉีก (screen tearing) อีกทั้งยังสามารถให้ความสว่างได้ค่อนข้างดี

  • ข้อเสีย จอภาพแบบ Twisted Nematic (TN) จะให้มุมมองที่แคบ และหากไม่ได้นั่งอยู่หน้าจอตรง ๆ ภาพบนหน้าจออาจจะดูเบี้ยวหรือไม่สมบูรณ์

3. หน้าจอแบบ Vertical Alignment (VA)

จอภาพ VA ถูกคิดค้นขึ้นหลังจากจอภาพ TN เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องบางประการของเทคโนโลยี TN โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอภาพ VA ให้สีสันที่แม่นยำกว่า และมีมุมมองที่กว้างกว่าจอภาพ TN อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังให้มุมมองกว้าง สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนแม้มองจากด้านข้าง และสุดท้ายคือให้คอนทราสต์ดี ภาพมีความคมชัด ดำสนิท

  • ข้อเสีย แม้จะมีคอนทราสต์ที่ดี แต่ยังสู้เทคโนโลยี OLED ที่แสดงสีดำได้สนิทกว่าไม่ได้ อีกทั้งยังมีเวลาตอบสนองที่ช้ากว่าหน้าจอ TN ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเล่นเกม ที่สำคัญคือมีราคาแพงกว่าหน้าจอแบบ TN

4. หน้าจอ OLED (Organic Light-Emitting Diode)

จอภาพ OLED เป็นจอภาพชนิดเดียวในกลุ่มนี้ที่ไม่ใช้ไฟแบ็คไลท์ แต่ละพิกเซลบนหน้าจอสามารถปล่อยและปิดแสงเองได้ ทำให้แสดงภาพได้คมชัด นอกจากนี้จอภาพ OLED ยังประหยัดพลังงาน มีความบาง และมีมุมมองการรับชมที่กว้าง อีกทั้งยังแสดงสีได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะสีดำสนิท ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับผู้ใช้งานทุกประเภท

  • ข้อเสีย ราคาโดยทั่วไปของจอ OLED มักจะมีราคาแพงกว่าจอ LED/LCD ที่มีขนาดและคุณสมบัติใกล้เคียงกัน

เทคโนโลยีจอภาพ OLED vs LED แบบไหนเหมาะกับคุณ?

หลังจากทำความเข้าใจการทำงานของเทคโนโลยีจอภาพ OLED และ LED รวมถึงข้อดีของแต่ละประเภทไปแล้ว เราจะมาดูกันว่าจอภาพแบบไหนเหมาะกับการใช้งานของคุณ

สายงานออกแบบ: ช่างภาพ, นักออกแบบ, ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์

หากคุณทำงานในสายงานที่เน้นความแม่นยำของสี เช่น ช่างภาพ, นักออกแบบกราฟิก หรือผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ จอภาพ OLED น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากการควบคุมการทำงานของพิกเซลแบบแยกอิสระ ช่วยให้แสดงสีสันได้แม่นยำและคอนทราสต์สูง ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับงานด้านภาพ

นอกจากนี้การควบคุมพิกเซลแบบแยกยังช่วยลดปัญหาที่พบเจอในจอภาพ LED/LCD เช่น อาการ "ขอบแสง" (halo effect) รอบตัวภาพหรือตัวหนังสือ เป็นต้น นอกจากนี้จอภาพ OLED ยังมีมุมมองที่กว้าง เหมาะสำหรับการใช้งานแบบหลายจอ อีกทั้งในปัจจุบันยังมีจอภาพ OLED แบบพกพา ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานนอกสถานที่ได้อย่างสะดวกสบาย

นักเล่นเกมทั่วไปและนักกีฬา Esports

แม้ว่าความชอบส่วนตัวและงบประมาณจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่สำหรับคนที่เล่นเกม PC และนักกีฬา Esports มักจะเลือกจอภาพ LED ที่ใช้พาแนลแบบ TN หรือ IPS

  • จอภาพแบบ TN:

ข้อดี: มีจุดเด่นเรื่องเวลาตอบสนอง (response time) ที่ต่ำมาก อัตราการรีเฟรช (refresh rate) ที่เร็วมาก และมีความหน่วงอินพุต (input lag) ต่ำ ซึ่งคุณสมบัตินี้มีประโยชน์สำหรับเกมเมอร์ โดยเฉพาะเกมเมอร์ระดับมืออาชีพ

ข้อเสีย: มีมุมมอง (viewing angle) ที่ค่อนข้างแคบ และการแสดงสีสันอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

  • จอภาพแบบ IPS:

ข้อดี: ให้การแสดงสีสันที่ยอดเยี่ยมกว่าจอภาพแบบ TN ส่งผลให้คุณภาพของภาพเกมดีขึ้น มุมมองกว้างกว่า เหมาะสำหรับการเล่นเกมแบบมัลติเพลเยอร์

ข้อเสีย: ในกรณีส่วนใหญ่ จอภาพแบบ IPS จะมีอัตราการรีเฟรชที่ต่ำกว่าแบบ TN ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับการเล่นเกมแข่งขัน และเกมที่ต้องการเวลาตอบสนองค่อนข้างรวดเร็ว

สำหรับใช้งานทั่วไปภายในบ้านและออฟฟิศ

จอภาพแบบ IPS หรือ VA น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาเรื่องราคาและประสิทธิภาพ โดยจอภาพ IPS จะให้สีสันที่แม่นยำ และมุมมองการรับชมที่กว้าง ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดี ส่วนจอภาพ VA มีอัตราการตอบสนองช้า อาจไม่เหมาะสำหรับการเล่นเกม แต่ให้สีสันและคอนทราสต์ที่ดี โดยมีราคาไม่สูงเท่ากับจอภาพ OLED แต่ถ้าหากงานของคุณเกี่ยวข้องกับการออกแบบ ต้องการความแม่นยำของสี หรือต้องการประหยัดพลังงาน จอภาพ OLED อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

สรุปบทความ

และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลของจอเกมมิ่งแบบ OLED และ LED ที่ ViewSonic รวบรวมมาแบ่งปัน ซึ่งหน้าจอทั้ง 2 แบบก็นับว่าเป็นเทคโนโลยีหน้าจอที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยจอภาพ OLED มักจะถูกยกย่องว่าเป็นจอภาพที่ดีที่สุด ประหยัดพลังงาน มีมุมมองที่กว้าง และแสดงสีสันได้แม่นยำ แต่มีข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง ส่วนจอภาพ LED/LCD มีราคาถูกกว่า และมีความสว่างสูงกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ทำงาน หรือเล่นเกม ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การเลือกซื้อจอภาพ OLED หรือ LED ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ประเภทของการใช้งาน และความแม่นยำของสีสันที่ต้องการ